2024-06-10 09:11:16
จำนวนครั้งที่อ่าน : 29
Erythema Multiforme (อีริทิมา มัลติฟอร์เม) คือ โรคทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นรอยผื่นที่มีตุ่มตรงกลางและผื่นนูนเป็นวงกลมล้อมรอบคล้ายเป้ายิงธนู โดยอาจมีสาเหตุมาจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อการถูกกระตุ้นจากปัจจัยบางอย่างมากเกินไป เช่น การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือการใช้ยาบางชนิด
ผู้ที่มีอาการทางผิวหนังจาก Erythema Multiforme ส่วนใหญ่มักอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 20–40 ปี โดยแต่ละคนจะมีอาการความรุนแรงแตกต่างกันไป ซึ่งโดยส่วนมากมักไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ในบางกรณี รอยผื่นดังกล่าวและการติดเชื้ออาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้
โดยทั่วไปผู้ที่มีอาการทางผิวหนังจาก Erythema Multiforme มักไม่มีอาการใด ๆ นอกจากรอยผื่นสีแดงขนาดเล็ก ซึ่งมักเริ่มเกิดบริเวณมือและเท้า ก่อนจะแพร่กระจายไปตามแขน ขา และจะพบได้มากที่สุดบริเวณใบหน้า คอ และลำตัว โดยในบางกรณีอาจพบอาการคันเล็กน้อยและแสบร้อนร่วมด้วย นอกจากนี้อาจพบว่ารอยผื่นบางบริเวณมีลักษณะกระจุกตัวกันหรือเกาะรวมกันเป็นกลุ่ม เช่น บริเวณข้อศอก หรือหัวเข่า เป็นต้น
หลังจากเกิดผื่นดังกล่าวประมาณ 3 วัน ผื่นจะเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นและแบ่งเป็นชั้นคล้ายเป้ายิงธนู โดยจะมีลักษณะเป็นรอยสีแดงคล้ำ ซึ่งอาจพุพองหรือตกสะเก็ด ล้อมรอบด้วยรอยสีชมพูและสีแดงที่แบ่งเป็นชั้นชัดเจน แต่ในบางกรณีอาจพบรอยผื่นมีลักษณะต่างไป เช่น มีขอบไม่ชัดเจน นอกจากนี้ ผื่นดังกล่าวอาจเกิดในบริเวณใกล้เคียงกันจนมีขนาดใหญ่กว่าปกติ และส่งผลให้รู้สึกเจ็บแสบ หรือปวดผิวหนังบริเวณรอบ ๆ ได้
ในกรณีรุนแรงอาจพบอาการต่าง ๆ อย่างไข้ขึ้น หนาวสั่น อ่อนเพลีย หรือปวดตามข้อ และพบรอยผื่นขึ้นที่เยื่อบุบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย อย่างริมฝีปาก ภายในช่องปาก ลิ้น เหงือก รอบดวงตา อวัยวะเพศ รูทวาร หลอดลม และทางเดินอาหาร โดยริมฝีปากและภายในช่องปากจะเป็นบริเวณที่พบได้บ่อย ซึ่งหากแผลพุพองบริเวณดังกล่าวแตก อาจส่งผลให้รู้สึกปวดบริเวณรอบ ๆ และกลืนอาหารลำบาก
นอกจากนี้ผู้ที่มีอาการทางผิวหนังจาก Erythema Multiforme อาจมีปฏิกิริยาตอบสนองหรือเกิดรอยแผลจากการถูกกระตุ้นได้มากกว่าคนทั่วไป
หากพบอาการข้างต้นควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาทันที เนื่องจากอาการดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่มีความรุนแรงได้
Erythema multiforme
ในปัจจุบัน ทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดที่ส่งผลให้เกิดรอยผื่นลักษณะคล้ายเป้ายิงธนู หรือ Erythema Multiforme แต่มีความเป็นไปได้ว่าอาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นเมื่อเซลล์ผิวหนังถูกทำลายจากการตอบสนองที่มากเกินไปของระบบภูมิคุ้มกัน โดยมีปัจจัยบางอย่างเป็นตัวกระตุ้น เช่น
เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย โดยเชื้อที่พบได้บ่อย ได้แก่ เชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus) หรือเชื้อที่ทำให้เกิดโรคเริม เชื้อแบคทีเรียไมโคพลาสมา (Mycoplasma Bacteria)
ยาบางชนิด เช่น กลุ่มยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) กลุ่มยาเพนิซิลลิน (Penicillin) กลุ่มยาซัลฟา (Sulfonamides) ยากันชัก ยาชาหรือยาสลบ และยาต้านเชื้อแบคทีเรียกลุ่มอื่น
นอกจากนี้ในบางกรณีที่พบได้น้อย Erythema Multiforme อาจถูกกระตุ้นจากการฉีดวัคซีนบางชนิด อย่างวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) และวัคซีนรวมคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน (Tdap)
ในการวินิจฉัย Erythema Multiforme แพทย์จะตรวจดูผิวหนังบริเวณที่เกิดผื่นและสอบถามอาการความผิดปกติของผู้ป่วย จากนั้นแพทย์อาจตรวจด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น กระตุ้นให้ผิวหนังบริเวณที่เกิดผื่นเกิดการบาดเจ็บเล็กน้อยเพื่อดูการตอบสนองของร่างกาย (Koebner’s phenomenon) ตัดเนื้อเยื่อตัวอย่างไปตรวจ (Biopsy) หรือตรวจการติดเชื้อบางชนิดที่อาจเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ป่วยเกิดโรค
Erythema multiforme
โดยทั่วไปอาการต่าง ๆ ของผู้ป่วย Erythema Multiforme มักค่อย ๆ ดีขึ้นและหายได้เองภายใน 2–3 สัปดาห์ แต่หากแพทย์วินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีอาการรุนแรง แพทย์จะรักษาโดยการควบคุมปัจจัยที่อาจเป็นตัวกระตุ้น เช่น
การติดเชื้อ แพทย์อาจให้ผู้ป่วยรับประทานยา โดยชนิดของยาจะขึ้นอยู่กับการติดเชื้อของผู้ป่วย เช่น ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ชนิดรับประทาน สำหรับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ หรือยาอิริโทรมัยซิน (Erythromycin) สำหรับผู้ที่ติดเชื้อแบคทีเรียไมโคพลาสมา เป็นต้น
การใช้ยาบางชนิด หากมีความเป็นไปได้ว่าอาการของผู้ป่วยถูกกระตุ้นจากการใช้ยาบางชนิด แพทย์อาจแนะนำให้หยุดรับประทานยาดังกล่าว
ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการอื่น ๆ อย่างอาการคัน ปวด หรือผิวหนังอักเสบ แพทย์จึงอาจรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น
รับประทานยากลุ่มต้านฮิสตามีน หรือทาครีมที่มีสารช่วยให้ผิวชุ่มชื้น เพื่อบรรเทาอาการคัน
รับประทานยาแก้ปวด หรือทำแผลเพื่อบรรเทาอาการปวดจากการติดเชื้อ
ทายาสเตียรอยด์เพื่อบรรเทาอาการอักเสบของผิวหนัง
ใช้น้ำยาบ้วนปากที่บรรเทาอาการปวดในช่องปาก
รับประทานอาหารเหลว หรืออาจให้สารอาหารผ่านทางหลอดเลือดดำ หากผู้ป่วยรับประทานอาหารลำบากจากแผลในช่องปากหรือริมฝีปาก
รับประทานยาสเตียรอยด์ชนิดเม็ด เพื่อควบคุมการอักเสบ
ใช้ยาหยอดตา หรือครีมขี้ผึ้ง หากผู้ป่วยมีผื่นขึ้นบริเวณรอบดวงตา
ในกรณีรุนแรงแพทย์จะรักษาอาการหรือภาวะอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น ผู้ป่วยที่ระบบทางเดินหายใจผิดปกติ ภาวะบวมน้ำ (Edema) หรือภาวะขาดน้ำ (Dehydration) จากผื่นที่ขึ้นบริเวณหลอดลม หรือทางเดินอาหาร เป็นต้น
ทั้งนี้ผู้ป่วยบางคนอาจเกิด Erythema Multiforme ซ้ำอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งแพทย์สันนิษฐานว่าอาการของผู้ป่วยอาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส และให้ผู้ป่วยรับประทานยาต้านไวรัส อย่างยาอะไซโคลเวียร์ ติดต่อกันประมาณ 6 เดือน หากผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษา แพทย์อาจเลือกยาต้านไวรัสชนิดอื่นแทน อย่างยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) หรือยาแฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir)
โดยทั่วไปอาการต่าง ๆ ของผู้ป่วย Erythema Multiforme มักหายได้เองโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นหรือส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนใด ๆ แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง อาจพบภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น
เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดที่ส่งผลให้เกิด Erythema Multiforme การป้องกันจึงอาจทำได้ยาก แต่อาจลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจเป็นตัวกระตุ้น อย่างการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย เช่น
รับประทานอาหารที่ปรุงสุก สะอาด และมีประโยชน์ เพื่อรักษาร่างกายให้แข็งแรง
ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ แปรงสีฟัน หรือมีดโกนหนวด
มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย โดยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ หรือไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
รักษาความสะอาด หมั่นล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ
เมื่อเกิดแผล ควรรักษาความสะอาด ปกคลุมแผลให้มิดชิด และไม่ควรแกะเกาแผลเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
นอกจากนี้ หากคนในครอบครัวมีประวัติการเกิด Erythema Multiforme ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้งก่อนเริ่มใช้ยาใด ๆ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อการถูกกระตุ้นให้เกิดโรคมากกว่าปกติ
ตรีชฎา-คลินิก คลินิกรักษาสิว จังหวัดอุบลราชธานี รักษาสิว ทุกชนิด สิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวฮอร์โมน สิวสเตียรอยด์ แพ้ครีม แพ้เครื่องสำอาง ทรีทเม้นท์ ไอพีแอล เลเซอร์ คิดถึงเรา โทร 061-550-9396 LINE ID: @629inyrd
Share to Social Networks
บริการเว็บไซต์โดย 8columns.com