2024-10-28 09:34:42
จำนวนครั้งที่อ่าน : 24
Paronychia คือ การติดเชื้อบริเวณขอบเล็บหรือบริเวณผิวหนังรอบเล็บ ส่งผลให้เกิดรอยแดง แผลพุพอง มีหนองอยู่ด้านในเล็บและใต้ผิวหนัง รูปทรงของเล็บเปลี่ยนไปหรือเล็บหลุดออกจากฐานเดิม โดยการติดเชื้อดังกล่าวสามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย
การติดเชื้อบริเวณขอบเล็บแบ่งได้ออกเป็น 2 ชนิดคือ การติดเชื้อชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง โดยทั้งสองชนิดมีลักษณะอาการและระยะเวลาการเกิดที่แตกต่างกัน ซึ่งภาวะ Paronychia สามารถรักษาได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ
อาการของ Paronychia
Paronychia แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ ชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง
อาการของ Paronychia ชนิดนี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงและเกิดการติดเชื้อในระยะเวลาไม่เกิน 6 สัปดาห์ โดยมักเกิดที่ผิวหนังบริเวณโคนเล็บของเล็บใดเล็บหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บ บวมแดง มีหนองสีเหลืองใต้ผิวหนังชั้นนอกสุดและอาจกลายเป็นฝีได้ เกิดร่องระหว่างเล็บและผิวหนัง นอกจากนี้ ผู้ป่วย Paronychia อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ (Lymphangitis) และต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วย เนื่องจากติดเชื้อ Streptococcus Pyogenes
การติดเชื้อบริเวณขอบเล็บชนิดเรื้อรังเป็นการติดเชื้อที่อยู่นานกว่า 6 สัปดาห์ อาการจะค่อย ๆ เกิดขึ้นโดยอาจเริ่มจากโคนเล็บของนิ้วใดนิ้วหนึ่ง ก่อนจะแพร่กระจายไปยังเล็บอื่น ซึ่งเล็บที่ติดเชื้อจะเกิดอาการบวมบริเวณโคนเล็บ และเกิดร่องระหว่างเล็บและผิวหนัง หากเชื้อกระจายไปยังผิวหนังบริเวณอื่นอาจทำให้เกิดการอักเสบ ระคายเคือง มีรอยแดง มีอาการกดเจ็บ และมีหนองสีเหลือง ขาว หรือเขียวในบริเวณดังกล่าว นอกจากนี้ เล็บของผู้ป่วยจะหนา แข็ง บิดเบี้ยวและมักจะยกนูนขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการของ
ทั้งนี้ หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2–3 วัน เกิดฝีบริเวณด้านข้างหรือโคนเล็บ เป็นรอยสีแดงรอบเล็บ เล็บเปลี่ยนสี ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ และมีไข้ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
Paronychia อาจมีสาเหตุของการติดเชื้อที่แตกต่างกัน โดยชนิดเฉียบพลันอาจเกิดจากแบคทีเรียเข้าสู่เล็บผ่านแผลเปิดจากการได้รับบาดเจ็บหรือการระคายเคือง เช่น
การใช้ยาชนิดต่าง ๆ อย่าง อีพิเดอร์มัล (Epidermal) โกรทแฟคเตอร์ (Growth Factor) หรือยาดาบราฟินิบ (Dabrafenib)
ส่วน Paronychia ชนิดเรื้อรัง แพทย์ยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มักพบในผู้ป่วยที่มีโรคผิวหนังอักเสบ อย่างโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) และผู้ป่วยที่ติดเชื้อเรื้อรัง โดยเชื้อโรคที่มักพบว่าเป็นต้นเหตุ คือ เชื้อแคนดิดา (Candida Yeast) แบคทีเรียกลุ่มแกรมลบ (Gram Negative Bacilli) และเชื้อซูโดโมแนส (Pseudomonas)
นอกจากนี้ การใช้ยาบางชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อบริเวณขอบเล็บชนิดเรื้อรัง และผู้ที่มีปัญหาระบบไหลเวียนเลือดไม่ดีอาจเสี่ยงต่อการเกิด Paronychia ชนิดเรื้อรังได้สูงกว่าคนทั่วไป เช่นเดียวกับกลุ่มคนที่ทำอาชีพที่มือและเท้าต้องสัมผัสแช่หรือสัมผัสกับน้ำนานเกินไปอาจมีความเสี่ยงของภาวะดังกล่าวเช่นเดียวกัน ได้แก่ พนักงานทำความสะอาด ชาวประมง ผู้เลี้ยงโคนม และบาร์เทนเดอร์
การวินิจฉัย Paronychia
แพทย์จะวินิจฉัยภาวะ Paronychia ได้จากการตรวจร่างกายและความผิดปกติบริเวณขอบเล็บ บางกรณีอาจตรวจเพิ่มเติมในห้องปฏิบัติการเพื่อหาสาเหตุของการติดเชื้อด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
การย้อมสีแกรม (Gram Staining) เพื่อตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย
การตรวจหาเชื้อราโดยวิธีโปแตสเซียมไฮดรอกไซด์ (Potassium Hydroxide)
การเพาะเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Culture)
การเก็บเชื้อไวรัส (Viral Swabs)
แซ๊งสเมียร์ (Tzanck smears) โดยการตรวจดูรอยโรค
การเพาะเชื้อที่ได้จากการตัดเล็บ (Nail Clippings For Culture)
การรักษา Paronychia
แพทย์จะรักษา Paronychia ตามความรุนแรงของอาการและชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุ ร่วมกับการแนะนำให้ผู้ป่วยดูแลตนเองควบคู่ไปด้วย ดังนี้
การติดเชื้อบริเวณขอบเล็บชนิดเฉียบพลัน
ผู้ป่วยที่มีอาการของชนิดเฉียบพลันอาจสามารถรักษาได้หลายวิธี เช่น
แช่นิ้วในน้ำอุ่นหลาย ๆ ครั้งเป็นประจำทุกวัน
ใช้ยาทาฆ่าเชื้อเฉพาะที่ (Topical Antiseptic) ในผู้ที่ติดเชื้อไม่รุนแรง
รับประทานยาปฏิชีวนะในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือมีการติดเชื้อแบคทีเรียมานาน โดยแพทย์จะสั่งจ่ายยาชนิดต่าง ๆ เช่น ยากลุ่มเตตราไซคลีน (Tetracyclines) หรือยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) หากผู้ป่วยติดเชื้อเอชเอสวี (Herpes Simplex Virus: HSV) อย่างรุนแรง
ผ่าตัดและระบายหนองในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นฝี โดยแพทย์จะฉีดหรือทายาชาบริเวณดังกล่าวแล้วจึงเริ่มการผ่าตัด เมื่อระบายหนองเสร็จแล้วแพทย์จะทำความสะอาดและปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ บางกรณีแพทย์อาจจำเป็นต้องถอดเล็บออก
การรักษาอาการติดเชื้อขอบเล็บชนิดเรื้อรังจะเน้นไปที่การลดการอักเสบของผิวหนังและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคแต่ละชนิด แพทย์อาจแนะนำผู้ป่วยให้ใช้ยาทาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตเชื้อโรค อย่างยาฆ่าเชื้อ (Antiseptics) หรือยาต้านเชื้อรา (Antifungal) ติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน
ในผู้ที่แพทย์วินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อ C. albicans อาจต้องใช้ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทานเพื่อบรรเทาอาการอักเสบ โดยแพทย์อาจสั่งจ่ายยาทาเฉพาะจุดในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ให้ผู้ป่วยใช้เป็นเวลาประมาณ 2–4 สัปดาห์และทาซ้ำในบริเวณที่มีผื่นแดง หากอาการผิวหนังอักเสบไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ แพทย์อาจะแนะนำให้ใช้ยาทาโครลิมัส (Tacrolimus) ชนิดทา และหากเชื้อดื้อยาอาจใช้วิธีฉีดสเตียรอยด์ (Intralesional Steroid Injection) เพื่อต้านการอักเสบ
ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่มีอาการของการติดเชื้อชนิดเรื้อรังควรดูแลตนเองควบคู่กับการรักษาตามคำแนะนำต่อไปนี้
นอกจากนี้ แพทย์อาจปรับหรือเพิ่มขั้นตอนการรักษาในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาสุขภาพอื่นหรือเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง เช่น หากผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานและโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด แพทย์จะตรวจหาภาวะเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis) บริเวณนิ้วเท้าร่วมด้วย หากผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อลุกลาม แพทย์อาจผ่าตัดเปิดผิวหนังรอบ ๆ โคนเล็บเพื่อนำเนื้อเยื่อที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อออก บางกรณี แพทย์อาจใช้การผ่าตัด Swiss Roll Technique เพื่อช่วยให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อบริเวณโคนเล็บฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
Paronychia ชนิดเฉียบพลันอาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการติดเชื้ออย่างรุนแรงและกระจายไปยังเส้นเอ็น หากพบว่าการติดเชื้อมีความรุนแรงมากขึ้นควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา ในขณะที่ Paronychia ชนิดเรื้อรังอาจทำให้เล็บอ่อนแอ เปราะหักง่าย และผิดรูป เช่น เล็บขรุขระ หนาขึ้น เล็บเปลี่ยนเป็นสีเขียว ดำ หรือเหลือง และเมื่อเล็บยาวขึ้น ลักษณะของเล็บจะกลับมาเป็นปกติ โดยอาจใช้เวลามากกว่า 1 ปี
ภาวะ Paronychia ป้องกันได้ด้วยการดูแลรักษามือและเท้าให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ไม่ควรกัดเล็บหรือแกะผิวหนังบริเวณรอบ ๆ เล็บ ไม่ตัดผิวหนังบริเวณโคนเล็บ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับน้ำที่ปนเปื้อนสิ่งสกปรกและสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้บริเวณผิวหนัง
ตรีชฎา-คลินิก คลินิกรักษาสิว จังหวัดอุบลราชธานี รักษาสิว ทุกชนิด สิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวฮอร์โมน สิวสเตียรอยด์ แพ้ครีม แพ้เครื่องสำอาง ทรีทเม้นท์ ไอพีแอล เลเซอร์ คิดถึงเรา โทร 061-550-9396 LINE ID: @629inyrd
Share to Social Networks
บริการเว็บไซต์โดย 8columns.com